ถ้าเจอสูตร IF ซ้อน IF ที่หน้าตาแบบนี้
=IF( เงื่อนไขที่ 1, IF( เงื่อนไขที่ 2, “Yes”, ”No” ), ”No” )
เราสามารถทำสูตรอีกแบบเป็น =IF( And( เงื่อนไขที่ 1, เงื่อนไขที่ 2 ), “Yes”, “No” ) ทำให้ใช้ IF เพียงชั้นเดียวโดยไม่จำเป็นต้องซ้อน IF หลาย IF เข้าไปก็ได้
แม้การสร้างสูตรทั้งสองแบบในแง่คณิตศาสตร์ได้คำตอบแบบเดียวกันก็ตาม แต่ถ้าต้องการให้สูตรทำงานอย่างสมเหตุผล ต้องทำให้ตรงกับเงื่อนไขตามความเป็นจริงด้วย
- การใช้สูตร IF ซ้อน IF นั้น Excel จะทำการตรวจสอบเงื่อนไขแรกที่ 1 ก่อน เมื่อผ่านแล้วจึงตรวจสอบเงื่อนไขที่ 2
- การใช้สูตร And Or นั้น Excel จะต้องเสียเวลาตรวจสอบทุกเงื่อนไขในวงเล็บก่อน จากนั้นจึงประมวลผลออกมาว่าเป็น True หรือ False
ถ้าเปรียบเทียบกับการยกมือลงคะแนน IF ซ้อน IF เป็นการลงคะแนนเสียงแบบให้ยกมือทีละคน ถ้าคนแรกประธานสภาไม่เห็นด้วย ตัดสินได้เลยโดยคนต่อไปไม่ต้องเสียเวลามายกมืออีก แต่ถ้าคนแรกยกมือเห็นด้วยจึงเปิดโอกาสให้คนถัดไปยกมือ
ส่วนการใช้สูตร And Or ต้องให้ทุกคนยกมือแล้วจึงค่อยดูคะแนนเสียง ซึ่งเสียเวลากว่าจะรวบรวมคะแนนเสร็จ
… แล้วจะสร้างสูตรแบบไหนดี
ขึ้นกับลำดับของเงื่อนไข ในแง่ของเวลาที่ใช้คำนวณ IF ซ้อน IF อาจทำงานเร็วกว่า เพราะไม่จำเป็นต้องเสียเวลาตรวจสอบทุกเงื่อนไข แต่สูตรจะยาว แกะยาก
สูตร And Or ช่วยทำให้สูตรดูง่ายขึ้น แต่จะเสียเวลาคำนวณทุกเงื่อนไข และต้องระวังมากหน่อยตรง error ถ้าเกิดขึ้นในบางเงื่อนไข ก็จะล้มทั้งสภา สูตร And Or จะคืนค่าเป็น error ออกมาแทน ต่างจาก IF ที่เงื่อนไขยังทำงานหากยังไม่พบ error